26 มิถุนายน 2556

เป็นพยานเพื่อพระคริสต์

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน บทความในครั้งนี้ผมขอสรุปคำสอนเรื่อง "เป็นพยานเพื่อพระคริสต์"ที่ผมได้แบ่งปันที่คริสตจักรแห่งพระบัญชา ไว้ดังนี้ครับ 
กิจการของอัครทูต 1:8   แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน  และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม  ทั่วแคว้นยูเดีย  แคว้นสะมาเรีย  และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

(พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอธิบาย ปี 2012 p.2021: ข้อความนี้เป็นกุญแจสำคัญของพระธรรมกิจการฯ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการได้รับฤทธิ์อำนาจที่จะเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ เพื่อจะนำคนหลงหายกลับมาหาพระเจ้า และได้รับการสอนให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงสั่งไว้ ผลคือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วจะรู้จักพระคริสต์…)
คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ"ในภาษากรีกใช้คำว่า"ดูนามิส"(Dunamis) มีความหมายมากกว่ากำลังหรือความสามารถ มีสิทธิอำนาจที่จะขับไล่วิญญาณชั่ว การเจิมเพื่อการรักษาคนป่วย เป็นหมายสำคัญที่จะติดตามผู้เชื่อในการป่าวประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า(มธ.28:18-20,ลก.4:14,18,24:49)

ลูกา 4:14   พระเยซูได้เสด็จกลับไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณยังแคว้นกาลิลี  และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ
ลูกา 4:18  พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ

งานหลักของพระวิญญาณฯในการเป็นพยานและป่าวประกาศการเสด็จมาเหนือผู้ที่เชื่อเพื่อประทานฤทธิ์เดช และการเป็นพยานในเรื่องการไถ่ การฟื้นคืนพระชนม์(กจ.2:14-42)
(กจ.1:8)ท่านจะเป็นพยานฝ่ายเรา ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณฯจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการเป็นพยาน (ยน.14:26,15:26-27)
พระวิญญาณทรงเปิดเผยถึงการประทับอยู่ของพระองค์ในการเป็นพยาน เป็นพยานถึงความชอบธรรม(ยน.16:8)และความจริง(ยน.16:8) นำมาซึ่งพระเกียรติสิริแด่พระคริสต์ ไม่ใช่แค่การพูดแต่รวมถึงการกระทำที่มาจากชีวิตของผู้ที่เป็นพยานเรื่องพระคริสต์ ดังนั้น
 
“ชีวิตของเราจะดังดั่งเช่นในสิ่งที่เรากล่าว  ชีวิตของเราจะเป็นคำพยานของพระคริสต์”

เราสามารถชนะพญามารด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิต พระวจนะและคำพยาน
วิวรณ์12:11 เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และเพราะคำพยานของพวกเขาเอง เพราะเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน
นิยามและความหมายของพยาน

ความหมายของ “พยาน” ( witness )  ความหมาย คือ ผู้รู้เหตุการณ์, คน,เอกสาร

ในพันธสัญญาเดิม ก้อนหินก็ใช้เป็นพยานได้  หมายถึง พยานบุคคล 
ปฐมกาล 31:46-52 
   46 แล้วยาโคบจึงพูดกับญาติพี่น้องว่า  "เก็บก้อนหินมา"  เขาเก็บก้อนหินมากองสุมไว้  แล้วก็กินเลี้ยงกันที่กองหินนั้น
   47 ลาบันจึงตั้งชื่อกองหินนั้นว่า  เยการ์สหดูธา  {ภาษาอารัม  แปลว่า  กองพยาน}  แต่ยาโคบตั้งชื่อว่า  กาเลเอด  {ภาษาฮีบรู  แปลว่า  กองพยาน}
48ลาบันกล่าวว่า  "วันนี้กองศิลานี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า"  เหตุฉะนี้เขาจึงตั้งชื่อว่า  กาเลเอด
  49 และมิสปาห์  {แปลว่า  ด่านยาม}  เพราะเขากล่าวว่า  "พระเจ้าทรงเฝ้าอยู่ระหว่างเจ้ากับเรา  เมื่อเราจากกันไป ...
  52 หินกองนี้เป็นพยาน  และเสานั้นก็เป็นพยานว่า  เราจะไม่ข้ามกองหินนี้ไปหาเจ้า  และเจ้าจะไม่ข้ามกองหินนี้และเสานี้มาหาเรา  เพื่อทำอันตรายกัน

คำว่า “คำพยาน”(Testimony) หมายถึง การกล่าวถึง พูดถึง

คำว่า "พยาน" ในพันธสัญญาใหม่บันทึกเป็นภาษากรีกว่า "มาเทอร์" ( Martyr )ซึ่งคำนี้เป็นรากศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่า “วีรชนผู้ยอมตายเพราะถูกข่มเหง” (ศาสนจักรโรมันคาทอลิก เรียกว่า “มรณสังขี” ) ในความเชื่อทางศาสนา ดังนั้นคำว่า "พยาน" ในพันธสัญญาใหม่ยังหมายถึงผู้ที่ยอมตายเพื่อพระคริสต์ เขายอมให้เลือดของตัวเองหลั่งออกมาประทับตราคำพยานของตน เช่น "สเทเฟน" ( กิจการ 22.20,วิวรณ์ 17.6)

กิจการของอัครทูต 22:20  และเมื่อเขาทำให้โลหิตของสเทเฟนผู้เป็นพยานฝ่ายพระองค์ตกนั้น  ข้าพระองค์ก็ยืนอยู่ใกล้และเห็นชอบในการนั้นด้วย  และข้าพระองค์เป็นคนเฝ้าเสื้อผ้าของคนที่ฆ่าสเทเฟนนั้น"
(ชื่อ สเทเฟน หมายถึง มงกุฎ เชื่อว่าท่านจะได้รับ มงกุฎแห่งชีวิต )

ยากอบ 1:12   คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข  เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้วเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต  ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
1เปโตร 5:4   และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ  ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย

ในภาษาเดิม คำพยาน  หมายถึง  การพูดถึงหลักฐานที่ตัวเองมั่นใจ  โดยกล้าเอาชีวิตเป็นประกัน 
การกล่าวคำพยานชีวิตเป็นการดึงความสนใจให้โลกรู้ว่า  พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าแต่เพียงทฤษฎี แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นจริงในชีวิตของเรา   และเราเองคาดหวังด้วยความรักว่าอยากให้คนทั่วปวงที่ไม่รู้จักพระเจ้าได้พบความจริงเช่นที่เราเคยพบแล้ว

ความสำคัญของพยาน
การเป็นพยานเรื่องพระเจ้านั้นพระเจ้าทรงกำหนดไว้

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม

โมเสส เป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อฟาโรห์
อพยพ 10:1-2 
   1   พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า  "จงเข้าไปหาฟาโรห์  เพราะเราทำให้ใจของฟาโรห์และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง  เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราท่ามกลางพวกเขา
   2   เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟังรวมทั้งหมายสำคัญ  ซึ่งเราได้สำแดงแก่เขานั้น  เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า"
อพยพ 18:11 บัดนี้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งปวง  ใหญ่กว่าพระเหล่านั้นที่ได้กระทำต่อชนชาติอิสราเอลอย่างทะนง"

ในพระคัมภีร์ใหม่

ยอห์น บัพติศโต เป็นพยานบุคคลที่สำคัญในการเตรียมทางของพระเมสิยาห์
ยอห์น 1:6-7
6   มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น
7   ท่านมาเพื่อเป็นสักขีพยาน  เพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น  เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน

อัครทูตยอห์น ผู้เขียนพระธรรมยอห์นและวิวรณ์
ยอห์น 21:24-25
24   สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้  และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้  และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง
25   มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ  ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่งข้าพเจ้าคาดว่า  แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น
วิวรณ์ 1:9    ข้าพเจ้าคือยอห์น  พี่น้องของท่านทั้งหลาย  ผู้เป็นเพื่อนร่วมการยากลำบาก  และร่วมราชอาณาจักร  และร่วมความอดทน  ซึ่งเป็นประสบการณ์ในพระเยซู  ข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่ที่เกาะปัทมอสเนื่องด้วยพระวจนะของพระเจ้า  และเนื่องด้วยการเป็นพยานฝ่ายพระเยซู

เรื่องจริงที่ห้ามแจ้ง!
มธ.28:10-15  (เหตุการณ์หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์)
10   พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า  "อย่ากลัวเลย  จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี  จะได้พบเราที่นั่น"
11   เมื่อหญิงเหล่านั้นกำลังไป  มียามบางคนในพวกที่เฝ้าอุโมงค์นั้น  เข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ทั้งปวง  ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นให้พวกมหาปุโรหิตฟัง
12   เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว  ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร
13   สั่งว่า  "พวกเจ้าจงพูดว่า  "พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน  เมื่อเรานอนหลับอยู่"
14   ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง  เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ"
15   ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ  และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้

กามาลิเอล ไม่เชื่อว่าเรื่องพระเยซูคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์จะมีคนเชื่อได้นาน
กิจการของอัครทูต 5:30-40 
30   พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น  พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
31   พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์  ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่  แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา
32   เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้  และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น  ก็เป็นพยานด้วย"
33   เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น  คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย
34   แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสีและเป็นบาเรียน  เป็นที่นับถือของประชาชน  ได้ยืนขึ้นในสภา  แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง...
38   ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า  จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง  อย่าทำอะไรแก่เขาเลย  เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้  มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง
39   แต่ถ้ามาจากพระเจ้า  ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้  เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า"
40   เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล  และเมื่อได้เรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว  จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู  แล้วก็ปล่อยไป

เรื่องพระเยซูคริสต์ฟื้นจากความตายจึงเป็นเรื่องต้องห้าม สำหรับคริสตจักรในสมัยแรกที่ไปเป็นพยานที่ไหนจะถูกข่มเหงจากพวกจักรวรรดิ์โรมัน

ในยุคสมัยต่อมาข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ต้องต่อสู้กับพวกลัทธิสอนผิดมากมายเช่น Gnostic, Epicureanism จึงต้องมีการปกป้องหลักข้อเชื่อ

การปกป้องหลักข้อเชื่อ Apologetics
คำพยานในชั้นศาล

1 เปโตร 3:15  แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ

บิลลี่ เกรแฮม เทศนาในหลายปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นออกมาคือความจริงที่ท่านนำพระวจนะจากพระคัมภีร์มาใช้อ้างตลอด  บิลลี่ เกรแฮม มักจะพูดว่า และพระคัมภีร์กล่าวว่าและพระวจนะกล่าวว่า …”? ท่านตระหนักดีถึงสิทธิอำนาจของพระวจนะ
อัครทูตเปโตรเองก็ตระหนักดีถึงสิทธิอำนาจของพระคำเมื่อท่านประกาศกับฝูงชนในวันเพ็นเทคอสต์ (กจ.2)ท่านอ้างจากหนังสือโยเอล 2:28–32  
อัครทูตเปโตรเขียนว่า “…จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด…” (1เปโตร 3:15)


วลีที่ว่า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ มาจากคำในภาษากรีก apologia ซึ่งมาเป็นคำภาษาอังกฤษว่า “apologetic” (แปลว่าการขออภัย) ไม่ได้หมายความว่าขออภัยในความเชื่อ แต่ในความหมายของการเป็นพยานในเชิงกฎหมายที่ในศาล เป็นเหมือนว่าความต่อผู้พิพากษาหรือลูกขุน และนี่คือสิ่งที่เราทำเมื่อนำเสนอความจริงแห่งข่าวประเสริฐ เรากำลังว่าความของเรา
ในอิสยาห์ 55:11 พระเจ้าตรัสถึงพระคำของพระองค์ คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น
เมื่อเราแบ่งปันข่าวประเสริฐ ไม่มีอะไรสร้างผลกระทบได้เท่ากับการนำพระวจนะของพระเจ้ามากล่าวอ้าง

ข้อสรุปคือพระวจนะของพระเจ้านั้นจำเป็นอย่างยิ่งในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ผมขอแบ่งปันตัวอย่างซึ่งเป็นตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริง(Base on the true story)  เป็นเรื่อง "ความรักในศาลของประเทศฮ่องกง"
พระเอกเป็นทนายฝ่ายจำเลย แก้คดีให้ลูกความในคดีที่นางเอกเป็นโจทย์ฟ้องว่าลูกความของพระเอกปล่อยน้ำเสียมาที่โรงงานของนางเอก พระเอกจึงไปสืบสวน ปรากฏว่าเป็นจริงตามที่นางเอกที่เป็นโจทย์กล่าวจริงๆ และเกิดความรักในระหว่างการไปทำหน้าที่

พระเอกจะทำอย่างไร จำเป็นต้องเลือกระหว่างหน้าที่ หรือความรัก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร? พระเอกจึงตัดสินใจดังนี้

ในการเบิกคำพยาน  พระเอก เป็นทนายฝ่ายจำเลยขอเบิกตัวนางเอกฝ่ายโจทย์เพื่อเป็นพยานในชั้นศาล 
พระเอกจึงให้นางเอกเอามือวางบนหนังสือพระคริสธรรมคัมภีร์ และให้สาบานต่อศาลว่าจะกล่าวแต่ความจริงตามพระวจนะพระเจ้า 
พระเอกถามนางเอกว่า “คุณรักผมไหม?
ระหว่างนั้น พวกลูกความฝ่ายพระเอกก็ยกมือประท้วง คัดค้านคำถามของพระเอก ว่าคำถามไม่เกี่ยวกับรูปคดี  ศาลจึงเคาะที่บัลลังก์และให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
พระเอกจึงกล่าวต่อศาล ว่า “ผมมีเหตุผลที่จะถามคำถามนี้” ขอให้นางเอกที่เป็นฝ่ายโจทย์ตอบคำถามตามความเป็นจริง
ศาลบอกว่า “เรื่องความรักศาลชอบ ถามต่อได้”
นางเอกจึงตอบพระเอกว่า “ใช่คะ ฉันรักคุณ” และพระเอกจึงถามต่อไปว่า “คุณจะแต่งงานกับผมไหม? นางเอกจึงตอบว่า  “ได้สิคะ”
พระเอกจึงกล่าวต่อศาลว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ เนื่องจากเราทั้งสองคนรักกัน และมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ตามกฎหมายแล้ว เป็นการไม่เป็นธรรมและไม่สามารถทำคดีต่อไปได้ จึงต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ถอนตัวจากคดีนี้  ดังนั้นผมขอถอนตัวจากคดีนี้”

สรุปได้ว่า เมื่อยืนหยัดในความจริงก็จะมีคำตอบให้ในทุกปัญหา 

8.เหตุผลที่พระเยซูต้องการให้เราออกไปเป็นพยานเพื่อพระองค์
โดย ดร.บิล ไบร์ท(Dr.Bill Bright) ผู้ก่อตั้งองค์กร Campus Crusade for Christ)

1.เพื่อพระเจ้าได้รับพระเกียรติผ่านทางคำพยานของเรา
ยอห์น 15:8 พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก  ท่านก็เป็นสาวกของเรา

2.เพราะความรักของพระเจ้าเล้าใจเราให้แบ่งปันคำพยาน
ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ว่า  2โครินธ์ 5:14-15
  14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่ามีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว
  15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง  เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์  และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย

3.การเป็นพยานที่คำสั่งโดยตรงจากพระเยซูคริสต์ที่สั่งให้เราทำ
มัทธิว 4:19  พระองค์ตรัสกับเขาว่า  "จงตามเรามาเถิด  และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"
ยอห์น 15:15-16  15   เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก  เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร  แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย  เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา  เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว 16   ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา  แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย  และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล  และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่  เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา  พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน

4.เพราะผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระคริสต์เป็นผู้ที่หลงทาง คำพยานเป็นการนำคนกลับมาหาพระเจ้า
ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า  "เราเป็นทางนั้น  เป็นความจริงและเป็นชีวิต  ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
พระวจนะของพระเจ้าป่าวประกาศไว้ว่า  กิจการของอัครทูต 4:12  ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย  ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้  ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"

5.พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพยานเพื่อเป็นประโยชน์ให้คนได้ต้อนรับพระคริสต์ เพราะเราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เป็นพระกาย ที่ก่อเป็นพระวิหาร
เอเฟซัส 2:20-24 
20   ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น  บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก
21   ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า
22   และในพระองค์นั้น  ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย

6.พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพยานเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง
นำเราอธิษฐาน ศึกษาพระวจนะ พึ่งพาพระคริสต์
2โครินธ์ 9:10   ฝ่ายพระองค์ผู้ประทานพืชแก่คนที่หว่าน  และประทานอาหารแก่คนที่กิน  จะทรงโปรดให้พืชของท่านที่หว่านแล้วนั้นทวีขึ้นเป็นอันมาก  และจะทรงให้ผลแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญยิ่งขึ้น
กาลาเทีย 6:7-8 7 อย่าหลงเลย  ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้  เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง  ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
8  ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน  ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น  แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ  ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
ยากอบ 3:18   ผู้สร้างสันติสุข  หว่านอย่างสันติ  จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

7.พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพยาน เพื่อมีประสบการณ์พิเศษในการทรงสถิตของพระเจ้า
2โครินธ์ 1:1   เปาโล  ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 
เป็นบทบาทที่มีเกียรติคือเป็นทูตของพระเจ้า ผู้เป็นจอมกษัตรา และจอมเจ้านาย

8.พระเจ้าต้องการให้เราเป็นพยานเพื่อเราจะได้รับฤทธิ์เดชโดยพระวิญญาณ
กิจการของอัครทูต 1:8   แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธเดช  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน  และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม  ทั่วแคว้นยูเดีย  แคว้นสะมาเรีย  และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

กิจการ 10:42-43 42 พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย 43 ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกๆคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์"

การตอบสนอง เราจะเล่าคำพยานของเราอย่างไร

โรม 10:9-17
    9   คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า  พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเชื่อในจิตใจว่า  พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ท่านจะรอด
   10   ด้วยว่า  ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม  และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
   11   เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า  ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย
   12   เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้น  ไม่ทรงถือว่าต่างกัน  ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว  ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง  และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์
   13   เพราะว่า  ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด
   14   แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์  จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้  และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์  จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้  และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง  เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้
   15   และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป  เขาจะไปประกาศอย่างไรได้  ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า  เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา  ช่างงามจริงๆ  หนอ
   16   แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น  เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า  พระองค์เจ้าข้า  ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย

   17   ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน  และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์

รูปแบบการเขียนคำพยานเบื้องต้น   
1.ชีวิตของเราเมื่อก่อนเชื่อเป็นเช่นไร สาเหตุที่เรามาเชื่อ จุดในการตัดสินใจ
2.ชีวิตของเราเมื่อเชื่อแล้ว เราได้รับพระพรอย่างไร
3.เล่าถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในการไถ่ (ยน.3:16,รม.5:8)
4.การดำเนินชีวิตให้สอดคล้องต่อคำพยาน


รูปแบบการเป็นพยาน

1.เป็นพยานเชิญชวนตามสายสัมพันธ์ เช่นอันดรูว์ ชวนพี่น้อง,ฟิลิปชวนนาธานาเอล
ยอห์น 1:40-41    คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและได้ติดตามพระองค์ไปนั้น  คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร  แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน  และบอกเขาว่า  "เราได้พบพระเมสสิยาห์  {คำภาษาฮีบรูและคำภาษากรีก  หมายความว่า  ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม}  แล้ว"  (ซึ่งแปลว่าพระคริสต์)

ยอห์น 1:44-51 
   44   ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร
   45   ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า  "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ  และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง  คือ  พระเยซู  ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ"
   46   นาธานาเอลถามเขาว่า  "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ"  ฟีลิปตอบว่า  "มาดูเถิด"
   47   พระเยซูทรงเห็นนาธานาเอลมาหา  พระองค์จึงตรัสถึงเรื่องของตัวเขาว่า  "ดูเถิด  ชนอิสราเอลแท้  ในตัวเขาไม่มีอุบาย"
   48   นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า  "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร"  พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน  เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น  เราเห็นท่าน"
   49   นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า  "รับบี  พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล"
   50   พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  "เพราะเราบอกท่านว่า  เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นท่านจึงเชื่อหรือ  ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก"
   51   และพระองค์ตรัสกับเขาว่า  "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า  ท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเบิกออก  และบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"

2.เป็นพยานกับเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน เช่นหญิงชาวสะมาเรีย ชวนทั้งหมู่บ้าน (ยน.4)

3.เป็นพยานแบบเทศนาประกาศ แบบอัตรทูตเปโตร(กจ.2)

4.เป็นพยานชักชวนด้วยเหตุผลแบบอัครทูตเปาโล เป็นพยานกับคนชนชั้นสูง เช่นกษัตริย์อากริปปา
กิจการของอัครทูต 26:28   กษัตริย์อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า  "เจ้าอยากจะชวนเราให้เป็นคริสเตียน  ด้วยคำชักชวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"

5.เป็นพยานด้วยชีวิตในการทำความดี เช่นทาบิธา
กิจการของอัครทูต 9:36   ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์  ชื่อทาบิธา  ตามภาษากรีกว่าโดรคัสแปลว่าเนื้อสมัน  หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว

เราควรจะใช้ทุกวิธีการเพื่อเป็นพยานนำความรอดไปสู่ทุกคน

แฟรงคลิน เกรแฮม ลูกชายนักประกาศชื่อดังอย่างบิลลี่ เกรแฮม เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนหัวดื้อรั้นและติดเหล้าเมามาย แต่ตอนนี้เลิกแล้ว และได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน
"พระเยซูอัศจรรย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเฉพาะทำน้ำเปล่าให้เป็นเหล้าองุ่นเท่านั้น  แต่พระองค์ได้ทำการอัศจรรย์ในชีวิต คือเปลี่ยนเหล้าให้เป็นทรัพย์สมบัติในบ้าน" 
"เหล้าอาจจะเป็นน้ำเปลี่ยนนิสัย แต่พระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิต"

สรรเสริญพระเจ้า! ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ


13 มิถุนายน 2556

เอลีชา ผู้รับการเจิม 2 เท่า

เมื่อเรากล่าวถึงชื่อ "เอลีชา" เราจะนึกถึงทีมงานที่ติดสอยห้อยตามผู้รับใช้พระเจ้าอย่างเอลียาห์
เป็นผู้รับการเจิมในการรับใช้เป็น 2 เท่า จากการส่งผ่านโดยเอลียาห์
ชื่อของ "เอลียาห์" หมายถึง "พระเจ้าข้าพระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า"
ชื่อของ "เอลีชา" แปลว่า พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ในบทความครั้งนี้ เราจะมาทำความรู้จัก "เอลีชา" ให้มากขึ้นและเรียนรู้จากชีวิตของท่านที่ได้รับการเจิมส่งต่อจากเอลียาห์เป็น 2 เท่า
ก่อนที่พระเจ้าจะทรงรับท่านเอลียาห์ไปนั้น  พระองค์ได้ทรงใช้ท่านให้ไปเจิมเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์เป็นผู้เผยพระวจนะแทนท่าน
(1พกษ.19:16-17)  ชีวิตของท่านเอลีชาเป็นชีวิตที่พระเจ้าทรงใช้ได้มากมาย  ส่วนหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงสามารถใช้ท่านได้ก็เพราะท่านเป็นคนที่มีความตั้งใจดีเพื่อพระเจ้า  ท่านได้เป็นแบบอย่างแก่เราเรื่องของความตั้งใจในการมีชีวิตเพื่อพระเจ้าอย่างน้อย 3 ประการ นั่นคือ

1.ตั้งใจเดินไปไม่หันหลังกลับ
 
ก่อนที่เอลีชาจะตั้งใจในการเป็นผู้เผยพระวจนะอย่างจริงจัง เริ่มจากการตัดสินใจติดตามเอลียาห์ เรียกว่า "จับคันไถและไม่หันหลังกลับ"(ไม่ใช่คันหลังแล้วไม่หันหลังเกา)เพราะตอนที่พระเจ้าทรงเรียกท่าน ท่านกำลังไถนาด้วยวัวจำนวน 12 คู่ (1 พกษ.19:19-21)ท่านได้ติดตามเอลีชาไปด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่(ไม่ใช่เน่าแน่) ดังสาวกที่ทิ้งอาชีพความเป็นอยู่ของตนเพื่อติดตามพระเยซูคริสต์อย่างสุดใจ พระเยซูจึงเรียกคนที่ตั้งใจไม่ลังเล  
ลูกา 9:62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้ว หันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า"
คนที่ลังเลจะมีท่าทีเหมือนเศรษฐีหนุ่มที่ไม่กล้าที่จะขายสิ่งสารพัดเพื่อติดตามพระคริสต์ เมื่อพระเยซูทรงทดสอบใจ เขาก็ไม่ผ่านการทดสอบ

(มก.10:17-30)ดังนั้นเราควรจะมีท่าทีในการเดินติดตามพระเจ้าแบบเอลีชาคือ ตั้งใจเดินไปไม่หันหลังกลับ  

2.ตั้งใจ แม้หนทางไกลก็ไม่ย่อท้อ  

2 พกษ.2:1-8 เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงรับเอลียาห์ไปยังฟ้าสวรรค์ด้วยพายุรถม้าไฟ ท่านทั้งสองได้เดินทางจากกิลกาลไปที่ต่างๆ เริ่มจากไปที่เบธเอล ต่อด้วยเยรีโค ไปต่อที่แม่น้ำจอร์แดนการเดินทางไปในที่ไกล เอลียาห์ต้องการทดสอบความตั้งใจของเอลีชา แทนที่จะเดินข้ามแม่น้ำทันที แต่ท่านได้พาเอลีชากลับอ้อมไปอ้อมมา แต่ทันก็ไม่ย่อท้อ และที่แม่น้ำจอร์แดน
เอลีชาเห็นเอลียาห์เอาเสื้อคลุมฟาดลงที่น้ำและน้ำก็แยก และท่านทั้ง 2 คนเดินเหมือนบนดินแห้ง (2พกษ2:8) เอลียาห์ก็เอาเสื้อคลุมของท่าม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น น้ำก็แยกออกไปสองข้าง ท่านทั้งสองจึงเดินข้ามไปได้บนดินแห้ง“2พกษ2:9 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองข้ามไปแล้ว เอลียาห์จึง พูดกับเอลีชาว่า “จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไปจากท่าน” และเอลีชาตอบว่า “ขอให้ฤทธิ์เดช ของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี”
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อเอลียาห์ให้โอกาส เอลีชา ขอสิ่งที่ปราถนา ก่อนที่เอลียาห์จะถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ เอลีชาท่านกลับขอ “มรดกฝ่ายวิญญาณ” สิ่งที่เอลีชาขอใน 2 พกษ2:9 เอลีชาขอสิทธิบุตรหัวปี 
จะเห็นได้ว่า เอลีชา ท่านได้รับมรดกฝ่ายวิญญาณเป็นการเจิมเป็น 2 เท่า
ใน 2พกษ2:13-14 แล้วท่านก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้นและกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้นฟาดลงที่น้ำกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้างและเอลีชาก็เดินข้าม


เอลีชาสามารถทำได้เช่นเดียวกับเอลียาห์เพราะท่านได้เลียนแบบชีวิตของท่านเอลียาห์ เอลียาห์ทำให้ลูกของหญิงม่ายที่ศาเรฟัทตายไปแล้วให้ฟื้น(1 พกษ.17:7-24) เอลีชาก็สามารถทำให้ลูกของหญิงชาวชูเนมที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน(2 พกษ 4: 8-37)

ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าว เปาโลกล่าว เปาโลกล่าว “จงเลียนแบบข้าพเจ้า ดังข้าพเจ้าเลียบแบบพระคริสต์”(1คร.11:1)

ผู้นำที่ดีต้องเป็นแบบให้ผู้ตามเลียนแบบ เมื่อเอลีชาได้เห็นท่านจึงมีความเชื่อแม้จะมีอุปสรรคข้างหน้าอย่างแม่น้ำจอร์แดน เมื่อไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
อุปสรรคก็จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ท่านมีความเชื่อและการเจิมที่เพิ่มมากขึ้น


3.ตั้งใจเพราะหัวใจผูกพันในสิ่งที่หวัง

เอลีชาขออะไรจากเอลียาห์ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้ทรงประทานฤทธิ์เดชแก่เอลีชาอย่างไรบ้าง
2 พกษ2:9 เอลีชาขอสิทธิบุตรหัวปี เพราะสิทธิบุตรหัวปี จะได้รับมรดกเป็นสองเท่า นั่นย่อมหมายถึงเอลีชาได้เห็น ราชกิจของพระเจ้าในชีวิตเอลียาห์ ท่านเห็นท่านจึงรู้ว่าอะไรมีค่าสำคัญที่สุด
สิ่งที่น่าชวนเราคิด มากที่สุดในตอนนี้ คือ เอลีชาเรียกเอลียาห์ว่า “คุณพ่อของข้าพเจ้า”

2พกษ2:12 เอลีชาก็เห็นและท่านได้ร้องว่า “คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้าดูรถรบของอิสราเอลและพลม้าประจำ” และท่านก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลยแล้วท่านก็จับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน

ในพระธรรมตอนนี้ก็ย่อมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความสัมพันธิ์ของทั้ง 2 คนนั้น เหนียวแน่น ลึกซึ้ง และผูกพัน
คนเราหากไม่ผูกพันก็คงจะไม่เรียกอีกคนหนึ่งว่า “คุณพ่อ”แน่นอน
เมื่อเอลียาห์เรียกเอลีชาให้ทิ้ง อาชีพของท่านมารับใช้พระเจ้า และ เอลีชาติดตามเอลียาห์ไปในที่ต่างๆด้วยความผูกพันกันดั่งพ่อที่ฝึกฝนลูกตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่  เอลีชามีความตั้งใจและได้ผูกพันอุทิศตัวเองจนได้เป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับเอลียาห์และได้รับสิทธิบุตรหัวปี คือ การเจิมเป็น 2 เท่าในการรับใช้พระเจ้า

ข้อคิดคือ ผู้ที่เป็นผู้นำ ควรเสาะหาผู้ที่จะรับมรดกฝ่ายวิญญาณต่อไป เพื่อจะสานต่อภาระกิจต่อไปแต่ต้องเป็นคนที่มีหัวใจแบบเอลีชาคือ ความถ่อมใจที่จะเรียนรู้และ อดทน
และผู้ที่เป็นผู้ตาม ต้องเลียนแบบชีวิตของผู้นำ ตั้งใจเดินไปไม่หันหลังกลับ แม้ไกลก็ไม่ย่อท้อเพราะใจมุ่งมั่นผูกพันในสิ่งที่หวัง คือ การเจิมส่งผ่าน(Impartation) มาสู่ชีวิต ดั่งเช่นเอลีชาได้รับจากเอลียาห์
เอลีชาได้รับใช้ในฐานะผู้เผยพระวจนะจนถึงรัชกาลของเยโฮอาท และท่านก็เสียชีวิตลง  แม้ท่านจะตายไป แต่กระดูกของท่านก็ยังมีฤทธิ์เดช ทำให้คนตายฟื้น!
2 พกษ.13: 20-21
20 และเอลีชาสิ้นชีวิต เขาก็ฝังไว้ ฝ่ายหมู่คนโมอับเคยปล้นแผ่นดินนั้นในฤดูแล้ง
21 ครั้งหนึ่ง เมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป นี่แน่ะ เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน


คนดีแม้ตายไปยังทิ้งสิ่งที่ดีให้จดจำ ความดังไม่ "คงที่" ความดีคือสิ่งที่ "คงทน"

ขอให้เราเลียนแบบชีวิตของเอลีชาเป็นผู้รับการเจิม 2 เท่า 

ขอพระเจ้าอวยพระพรนะครับ
 
(ขอบคุณข้อมูลจาก บทความเรื่อง "การได้เห็นด้วยตา เรียนรู้ด้วยชีวิต ทำให้เกิดความมั่นใจ"  โดย อ.เจริญ ยธิกุล คริสตจักรพันธกิจแม่น้ำ http://www.rmcbkk.com)