20 สิงหาคม 2553

เปลี่ยนถุงหนังใหม่ การรับใช้สดใส

มัทธิว 9:12-17
12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ
13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต"
17 และเขาไม่เอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นหมักใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้"



นี่เป็นคำอุปมาที่พระเยซูคริสต์พูดกับ ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ ที่มีวิญญาณศาสนาชอบคอยจับผิดและปรักปรำผู้อื่น คิดว่าตนเองชอบธรรมมากกว่าคนอื่นๆ

ความคิดแบบนี้เป็นถุงหนังเก่า ต้องรับการเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ นอกจากนี้เราต้องนำเอาวิญญาณศาสนาออกจากชีวิตของเรา

ในอดีตผมเป็นคนหนึ่งเคยมีความคิดว่า เราดีกว่าคนอื่นที่ไม่ได้ถวายตัวมาทำงานเต็มเวลา หลายสิ่งเราได้รับสิทธิพิเศษเพราะเราเป็นคนวงใน ทำให้มีมุมมองความคิดแบบนักการศาสนา ฟาริสีและธรรมาจารย์ จึงไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง รักษาสภาพเดิม ไม่เปิดโอกาสให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในชีวิตได้

ซี ปีเตอร์ แวกเนอร์ ให้คำนิยามไว้ว่า “วิญญาณศาสนาคือ ตัวแทนของซาตานที่ได้รับหน้าที่ให้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง และรักษาสภาพเดิมไว้ โดยการใช้วิธีการทางศาสนา”

พี่น้องที่รักครับ “อย่าเสียเวลากับการปรักปรำ ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง”

ดังนั้นอย่าไปเสียเวลาอยู่ในวิญญาณศาสนาที่ปรักปรำเรา เมื่อเราคิดผิดหรือทำผิด แต่เราควรจะรับการปลดปลอยชีวิตภายใน(Inner Healing) สู่เสรีภาพใหม่ในพระองค์
เราต้องยอมรับว่าเราเป็นป่วยฝ่ายวิญญาณที่ต้องการพระเจ้าเข้ามาผ่าตัดและรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณ

มัทธิว 9:12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ

พระเจ้าต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดและมุมมองของเราใหม่ เราต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนถุงหนังใหม่ให้กับเราเพื่อการรับใช้ที่สดใส

จากผู้ป่วยนอกสู่ผู้ช่วยเยียวยาภายใน (OPD(Out Patient Department) – Inner Healing)



แท้จริงแล้วเราเป็นคนป่วยโดยไม่รู้ตัวเองว่าป่วย เนื่องจากเราไม่เปิดใจรับการตรวจสุขภาพฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า เพราะเราคิดว่าเราสบายดี เราไม่ต้องการหมอ

จากเหตุการณ์ปัญหาความขัดแย้งของคริสตจักรในอดีตที่ผ่านมา

สภาพชีวิตและการรับใช้ที่ผ่านมาของเรา คือ เราเป็นคนป่วยด้านจิตใจ เป็นคนไข้ฝ่ายวิญญาณ เป็นคนพิการที่ทำงานหนัก ร่างกายไม่สมประกอบ แต่ก็ยังฝืนใจทำงานรับใช้จนไม่สนใจสภาพของจิตวิญญาณ

วันนี้เราเป็นผู้ป่วยนอกที่เพียงรับยาสามัญคือคำอิษฐานเผื่อไม่เพียงพอ แต่ต้องถูก Admit เข้าห้องผ่าตัดใหญ่ รับการผ่าตัวเยียวปลดปล่อยชีวิตภายใน

เนื่องจากวิญญาณศาสนาในชีวิตของเราทำให้เราดื้อยารักษาไม่หาย และมันได้เลี้ยงไข้ เรามานานมากแล้ว
เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับการ Inner Healing เยอะมาก ทั้งจากผู้อื่นและจากพระเจ้าโดยตรง
ขอบพระคุณสำหรับผู้นำคริสตจักรต่างๆ ที่เป็นแพทย์เฉพาะทาง ได้มาสอนเราในเรื่องนี้ที่ผ่านมา
ให้ในวันนี้เราได้รับการรักษาและพัฒนาจากผู้ป่วยไปสู่ผู้ช่วยเยียวยาภายในให้กับผู้อื่นต่อๆไป

จากเรือนจำสู่เรือนเพาะชำฝ่ายวิญญาณ

สภาพความคิดของพวกเรา Staff คือ การถูกจำคุกในความคิดติอกับกรอบความคิดเดิม

แม้พระเจ้าทรงไถ่เราแล้วให้เราเป็นไท แต่ยังเป็นทาสในความคิดติดคุกทางปัญญา ไม่ได้รับการปลดปล่อยฝ่ายวิญญาณ เรียกว่า ตัวเป็นไทใจเป็นทาส

รับใช้พระเจ้าบนความกลัว ไม่มีสันติสุข และความเต็มใจที่อยากจะรับใช้

ขอบพระคุณพระเจ้า เมื่อเราได้รับมุมมองที่เปลี่ยนใหม่คือ คริสตจักรไม่ใช่ของเราแต่เป็นของพระเจ้า การรับใช้ไม่ใช่ของเราแต่เป็นของพระเจ้า
เราได้อธิษฐานมอบถวายคืนคริสตจักรให้กับพระองค์ครอบครองแล้ว รวมถึงเรื่องต่างๆด้วย

ทำให้เราหลุดจากพันธนาการทางความคิดว่าเราเป็นเจ้าของ แท้จริงเราไม่ใช่เจ้าของแต่เป็นผู้อารักขา
เราจึงไม่ทำเพื่อสร้างอาณาจักตนเองในอาณาจักรพระเจ้า มีคริสตจักรเล็กในคริสตจักรใหญ่

สิ่งเหล่านี้ทำให้เราหยิ่งและติดกับวิญญาณศาสนา ต้องถูกจองจำต่อไป เมื่อพระองค์ทรงเป็นเจ้าของงานทุกสิ่ง พระองค์จะทำให้ดีเสมอ เราสามารถวางใจในพระองค์ได้เสมอ

ในวันนี้เราได้ก้าวออกจากจากเรือนจำฝ่ายวิญญาญสู่เรือนเพาะชำฝ่ายวิญญาณ

คริสตจักรจะเป็นที่เตรียมเราให้เป็นในการรับใช้แบบถุงหนังใหม่ รับใช้ตามของประทานและปลดปล่อยสมาชิกให้มีส่วนร่วม

เอเฟซัส 4:11-12
11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น




เมื่อเราอยู่ในคริสตจักรซึ่งเป็นเรือนเพาะชำในฝ่ายวิญญาณ พระองค์จะทำให้เราได้รับการเสริมสร้างจากเมล็ดพันธ์กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ โดยการสร้างเราในความเป็นตัวตนของเรา เพราะเรามีอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน พระองค์จะตัดแต่งเราให้เหมาะสมตามน้ำพระทัยของพระองค์

มัทธิว 13:32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"

ความเป็นตัวตนส่งผลการทำงาน (Being – Doing)

พระเจ้าได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดในการรับใช้คือ รับใช้จากท่าทีส่วนลึกและจะส่งผลเป็นการกระทำ เรียกว่าความเป็นตัวตนส่งผลการทำงาน (Being – Doing)
เปลี่ยนถุงหนังใหม่ การรับใช้สดใส
มุมมองเดิม มุมมองใหม่

จากผู้ป่วยนอกสู่ผู้ช่วยเยียวยาภายใน (OPD(Out Patient Department) – Inner Healing)

ผู้ป่วยนอก • ผู้ช่วยเยียวยาภายในจากเรือนจำสู่เรือนเพาะชำฝ่ายวิญญาณ
ผู้ต้องขัง • ผู้ปลดปล่อย
ตัวเป็นไทใจเป็นทาส • มีเสรีภาพในฝ่ายวิญญาณ
รับใช้พระเจ้าบนความกลัว • เป็นสันติสุข และความเต็มใจที่อยากจะรับใช้
มองจำกัดแค่ในคริสตจักร • มองในเรื่องอาณาจักร

Season Change ฤดูกาลใหม่แห่งการเกิดผลกำลังมา


ขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงนำคริสตจักรแห่งพระบัญชานับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคริสตจักร
พระองค์จะทรงนำเราไปส่ฤดูกาลใหม่แห่งการเกิดผล ในวาระเวลาของพระองค์ จากพระธรรม

อิสยาห์ 48:6-7
6 "... ตั้งแต่เวลานี้ไปเราเล่าสิ่งใหม่ให้เจ้าฟัง เป็นสิ่งที่ปิดซ่อนไว้ซึ่งเจ้าไม่รู้
7 เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่นานแล้ว ก่อนวันนี้เจ้าไม่เคยได้ยินถึง เกรงเจ้าจะพูดว่า ‘ดูเถิด เรารู้แล้ว’


น่าตื่นเต้นมากที่พระเจ้าเข้ามาบอกสิ่งใหม่ให้เราฟัง ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน และพระองค์จะสร้างสิ่งใหม่ สิ่งใหม่จริงๆ ที่เราไม่เคยได้ยินและไม่สามารถอวดรู้กับพระองค์ได้ว่า “เรารู้แล้ว”

สิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ คืออะไร มีคำพูดที่เป็น(Rhema) เสียงในจิตใจ ว่า “สิ่งใหม่ คือ สร้างชีวิตใหม่” พระเจ้าให้คำว่า “ชีวิตใหม่ คือ การยอมตายต่อตนเอง”

ต้นไม้ตายเพื่อแตกหน่อใหม่

โยบ 14:7-9
7 "เพราะสำหรับต้นไม้ก็มีความหวัง ถ้ามันถูกตัดลง มันก็แตกหน่ออีก และหน่ออ่อนของมันจะไม่หยุดยั้ง
8 ถึงรากของมันจะแก่อยู่ในดิน และตอของมันจะตายอยู่ในผงคลีดิน
9 แต่พอได้กลิ่นไอของน้ำ มันจะงอก และแตกกิ่งออกเหมือนต้นไม้อ่อน


เมล็ดพืชยอมตายเปื่อยเน่าเพื่อเกิดผลมาก

ยอห์น 12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก

ก่อนที่พระเจ้าจะสร้างสิ่งใหม่ พระองค์จะต้องรื้อถอนสิ่งเก่าออกก่อน จึงจะเริ่มสร้างสิ่งใหม่
เมื่อเราเปิดใจเรียนรู้ ไม่ถูกครอบด้วยวิญญาณศาสนา เพราะวิญญาณศาสนาเป็นความคิดแบบฟาริสี ที่เป็นเหมือนถุงหนังเก่า ขัดขวางสิ่งใหม่ที่พระเจ้าจะทำ
ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดของเราใหม่ เพื่อชีวิตที่สดใหม่ ส่งผลต่อการการรับใช้สดใส
ขอพระเจ้าทรงทำกับเราเถิด เราเตรียมพร้อมแล้ว ที่จะเปลี่ยนแปลงสู่ฤดูกาลใหม่ร่วมกับพระองค์!

เปลี่ยนมุมมองความคิด : ชีวิตสดใหม่ การรับใช้สดใส



ผมได้ใคร่ครวญคิดถึงตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน มีหลายสิ่งที่พระเจ้าได้เข้ามาปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ จึงได้มีเรียบเรียงเขียนให้อ่านดังนี้ครับ

มุมมองความคิดส่งผลต่อการกระทำอย่างยิ่ง คิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น เมื่อก่อนนั้นความคิดของเรามีมุมมองที่แคบ ไม่เปิดกว้างในการทรงนำของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต มุมมองแคบแบบเดิมของชีวิตเราเป็นแบบใดและมุมมองใหม่ที่พระเจ้าทรงให้กับเรา เป็นอย่างไร หากทราบแล้วเปลี่ยนดังนี้


มุมมองเดิม : ชีวิตถูกกดเพราะกฎนำชีวิต


เมื่อก่อนนั้นเราจะใช้ความพยายามมากในการดำเนินชีวิตตามกฎระเบียบ เพราะคิดว่าต้องรักษาชีวิตให้ดีไม่มีที่ติได้ สิ่งที่เราทำคือสิ่งที่เราท่อง นั่นคือ “จง…” “อย่า…” “ทำ…” “ต้อง…” “ห้าม…” ดำเนินชีวิตแบบทหารเกณฑ์
ดำเนินตามกฎเกณฑ์ รอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

สถานภาพเป็นเสมือนลูกจ้างชั่วคราว ที่ทำงานตามหน้าที่โดยปราศจากเป้าหมาย ไม่เคยรู้อนาคต ข้างหน้าและไม่เคยให้ความมั่นใจในอนาคตให้กับใครได้
แม้แต่การเข้ามแสวงหาพระเจ้าก็ยังเป็นรูปแบบศาสนาพิธี มี Script ทุกเรื่อง เข้าหาพระเจ้าแบบพาตัวเราเองไป เข้าใจว่าเรา ต้องทำดีจึงจะได้รับพระพร พระเจ้าจึงจะพอพระทัย ทำงานเพื่อจะได้รับผลตอบแทนเป็นพระพรจากพระเจ้า
ส่งผลในชีวิตคือการอยู่ในลู่และกรอบ ไม่มีขอบเขตให้เดินออกไปมากนัก

มุมมองใหม่ : ได้รับการยกชูเพราะรู้พระทัยพระเจ้า

ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงให้มุมมองใหม่ เพราะเป็น Full Timeทำงานเต็มเวลา ที่ถวายตัวพระเจ้าแบบเต็มใจ (Full heart)

ผมประทับใจในมุมมองของผู้นำคือท่านอาจารย์นิมิตและอาจารย์อ้อย ระเบียบ ได้กล่าวไว้ว่า “Staff อยู่ใกล้ที่สุด และต้องได้รับก่อน ได้รับการเรียนรู้ผ่านการได้ยินนิมิตนั้น พวกเราจะต้องผ่านการฝึกฝน ( Training) ในทั้งวิชาบังคับ (การศึกษาพระคัมภีร์) และวิชาเลือก พัฒนาจนไปถึงจุดที่พระวิญญาณเป็น Trainer ส่วนตัว จนกลายเป็นต้นแบบในการที่คนเห็นว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร Staff ต้องตอบได้ว่าอะไรที่เปลี่ยนไปจากอดีต / Staff ต้องจำให้ได้ว่าเราได้รับการ Train ในเรื่องอะไรบ้าง เพื่อไปเป็นพระพรต่อคริสตจักรอื่นๆ ด้วย”

นี่คือการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่และสถานภาพใหม่ด้วย

จากทหารเกณฑ์ดำเนินตามกฎเกณฑ์ กลายเป็นทหารของพระคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่ในเสรีภาพ

ชีวิตไม่ถูกกดแต่ได้รับการยกชูเพราะรู้พระทัยพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกับเราเสมอ

เยเรมีย์ 29:11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

จากสถานภาพลูกจ้างชั่วคราว พระองค์ยกชูให้เราเป็นลูกพระเจ้าชั่วนิรันดร์

ยอห์น 1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า

ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักเราเสมอ แม้เราเป็นเช่นไร พระองค์รักเราในความเป็นเราไม่ใช่ในสิ่งที่เราทำ แม้เราไม่ได้ทำสิ่งใดให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงรักเพราะเราเป็นลูกไม่ใช่ลูกจ้าง

เป็นผู้รับใช้ไม่ใช่ผู้รับจ้าง หลักประกันการทำงานคือแผนการอนาคตแห่งสวัสดิภาพที่พระองค์เตรียมไว้ตามน้ำพระทัยของพระองค์

พระเจ้าเปิดเผยอนาคตให้รู้น้ำพระทัยของพระองค์ รวมถึงอนาคตของแกะที่พระเจ้าเปิดเผยให้เห็น

มุมมองเดิม : ชีวิตตกขอบเพราะถูกตีกรอบชีวิต

สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะคริสตชนสนใจเอาแต่ทำงานรับใช้ จนไม่ได้สนใจในสิ่งรอบตัว ทั้งชีวิตครอบครัวและอนาคตในชีวิต เรามีปรัชญาที่ว่า “จงแสวงหาพระเจ้าก่อน สิ่งใด” จนเราไม่ได้ทำส่วนของเราอย่างเต็มที่ในเรื่องต่างๆ

บางท่านขัดสน เป็นคนไม่ค่อยมีเงิน อย่างยากลำบาก เก็บเงินไม่ค่อยได้ ไม่มีเวลากับครอบครัว ไม่เข้าใจเรื่องของความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ เรียกว่าไม่เข้าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ เลยแบกแอกไว้คนเดียวไม่ได้มีใครมาแบ่งเบา

ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก มุ่งแต่ทางธรรม ทำตนเป็นผู้ทรงศีล อยู่อย่างสันโดษ อยู่บนสันเขา ไม่เข้าใจชีวิตในวิถีทางของโลก

พวกเราเลยมีชีวิตที่ตกขอบเพราะตีกรอบชีวิตอยู่ในแวดวงสังคมที่แคบ ไม่ได้เปิดตัวสู่สังคมภายนอก แท้จริงแล้วพระเจ้าให้เราอยู่ในโลกเพื่อมีอิทธิพลต่อโลกได้รู้จักความรักของพระเจ้า

เราต้องอยู่ในโลกแต่ไม่ให้อิทธิพลของโลกมาครอบนำชีวิตของเราไปผิดทางจากทางพระเจ้า

ในอดีตนั้นแม้ว่าเราจะได้มีส่วนเข้าไปทำงานพัฒนาสังคม แต่ก็เป็นเพียงการทำงานฉาบฉวยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะไม่ใช่มาจากความเป็นตัวตนของเรา เราจึงไม่เข้าใจและเข้าถึงสังคมได้อย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราเป็น

การทำงานพัฒนาสังคมที่ผ่านมาจึงทำเพื่อสร้างภาพให้ดูดี ทำดีเพื่อเอาหน้า ทำงานเพื่อเอาใจแต่ไม่เอาจริง

อีกมุมมองเดิมที่พวกเรามีคือ ชีวิตโดดเดี่ยวเพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมีเพื่อนต่างคริสตจักร เนื่องจากพวกเราเก็บตัว เพราะถูกเก็บกด มีความภาคภูมิใจในองค์กร แข่งขันเพื่อความเป็นที่สุดของที่สุด

การเป็นที่สุดทำให้เกิดการแข่งขันในแต่ละคริสตจักร แทนที่จะร่วมกันรับใช้ เลยการเป็นแย่งกับรับใช้ หากเราช่วยกันแต่ละคริสตจักร งานของพระองค์คงไปได้ไกลมากกว่านี้

ไปคนเดียวไปได้เร็วแต่ไม่ไกล ไปด้วยกันไปได้ไกล และไปถึงเส้นชัย

มุมมองใหม่ : ชีวิตดีรอบคอบเพราะกรอบพระวจนะ


มัทธิว 5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับหลายเดือนที่ผ่านมา ที่พระองค์ทรงสอนให้เรามีมุมมองที่รอบคอบและสมดุลมากขึ้นในการดำเนินชีวิตกับพระองค์
เมื่อเราเริ่มต้นคริสตจักร เรามีเป้าประสงค์ 12 ประการ ที่เป็นพระบัญชาที่ทำให้คริสตจักรแห่งพระบัญชาขับเคลื่อนไป
เรามีเป้าประสงค์ที่จะเป็นคริสตจักรที่ส่งเสริมสนับสนุนให้นิมิตของสมาชิกแต่ละคนสำเร็จ

โรม 8: 28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตาม พระประสงค์ของพระองค์

1เปโตร 2:9 แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์


คริสตจักของเรา ทำตามพระบัญชาในเรื่องส่งเสริมสนับสนุนให้นิมิตของสมาชิกแต่ละคนสำเร็จตามการทรงเรียกของพระเจ้า เราจึงต้องเป็นคนที่เกิดผลดีในทุกด้าน ไม่ใช่แค่การรับใช้เท่านั้น แต่ต้องดีรอบคอบ ครบถ้วนสมดุลในทุกด้านชีวิต

ขอบพระคุณพระเจ้าเรามีเวลาในการดูแลครอบครัวมากขึ้น มีเสรีภาพในการทำงานไม่จำเป็นต้องตอกบัตรทำงาน แต่เราต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนผู้รับใช้ต่อคริสตจักร

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคำพยานชีวิตที่มาแบ่งปันทุกสัปดาห์ ในโครงการ “หนึ่งพันคำพยานเพื่อพระเจ้า” บางท่านมาเป็นพยานว่า เขาได้ครอบครัวกลับคืนมา

เราได้ปรับโครงสร้างอภิบาลและโครงสร้างเวลาให้เหมาะสมกับความสมดุลในชีวิตของคริสตสมาชิกมากขึ้น ตามเป้าประสงค์ของพระเจ้าในคริสตจักรของเราคือ คริสตจักรที่มีสุขภาพแข็งแรงในทุกด้าน ทั้งจิตวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย

เรามีเป้าประสงค์ที่จะเป็น “คริสตจักรที่สร้างอาณาจักรของพระเจ้า
มัทธิว 6:10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก

คริสตจักรแห่งพระบัญชา นำอาณาจักรพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เป็นความตั้งใจในชีวิตของเรา
เรามีเป้าประสงค์ที่จะเป็น”คริสตจักรที่ประสานพระกายเป็นหนึ่งเดียว” เป็นผู้ทำสะพานเชื่อมความสัมพันธกับคริสตจักรต่างๆ (Bridge builder)

เอเฟซัส 4:16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อ ที่ทรงประทานได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องคริสตจักรต่างๆ ที่ได้มีส่วนมาช่วยเหลือเรา และยืนเคียงข้างเราเสมอในยามที่เราเผชิญปัญหา ขอบคุณสำหรับทุกคำอธิษฐานเผื่อ คำเผยพระวจนะที่มาถึงเรา

ขอบคุณสำหรับคำสอนที่ดียอดเยี่ยมที่มาเป็นวิทยากรสอนในค่ายอาณาจักรแห่งพระสิริที่ผ่านมาทำให้เราเข้าใจในการฟังเสียงของพระเจ้า เข้าใจเรื่องการเยียวยาปลดปล่อยชีวิตภายใน(Inner healing)

กำแพงแห่งความอคติได้ถูกทำลายลงแล้ว วันนี้เราไม่เดินเดียวดาย แต่มีพี่น้องในพระกายที่ไปด้วยกันเสมอ

เอเฟซัส 2:14 … เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง

วันนี้ชีวิตของเราจึงไม่ตกขอบแต่ดีรอบคอบเหมือนพระองค์เพราะพระวจนะของพระองค์ล้อมกรอบความคิดของเราให้มีมุมมองใหม่ ชีวิตของเราจึงเปลี่ยนแปลงใหม่

มุมมองเดิม : ชีวิตไม่สงบเพราะไม่พบพระเจ้า

น่าแปลกใจมากทีเดียว เราชาวเลวีคนที่อยู่ในพระนิเวศ แต่เป็นคนอยู่ใกล้แต่กลับไกลห่างในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรามีมุมมองแบบเดิม ชีวิตเก่าของเราจึงเป็นแบบนี้

ตีความพระวจนะบนพื้นฐานของกายภาพ บนตัวหนังสือเป็นพวกพิสูจน์อักษร แต่ไม่ยอมให้พระวจนะพิสูจน์ตรวจชันสูตรใจ

ใช้หลักการตามความคิดของตัวเอง สร้างหลักการขึ้นมาเอง เรียกง่ายๆว่า “ตู่”

เป็นคนไม่มีหลักการ จึงทำตัวหลักลอย

ทำตนเป็นคนรอบรู้เป็น Guru ที่รู้ทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องจริง !

พบพระเจ้าแบบไม่ลึกซึ้ง เพราะกระวนกระวายต่อหลายสิ่งไม่เคยรู้ว่าจิตวิญญาณของเราสามารถพูดกับพระเจ้าได้ด้วย

เราฟังเสียงพระเจ้าได้น้อยมาก ฟังเสียงมนุษย์โดยเฉพาะผู้นำมากกว่าเป็นพวกว่านอนสอนง่ายฝ่ายวิญญาณ ตอบสนองทันทีที่สั่ง เชื่อฟังแม้ไม่เข้าใจ
เป็นลูกน้องที่ทำงานได้เข้าตานาย โดยเฉพาะสุดยอด บอสใหญ่ที่ชอบเอาแต่ใจ มีคำขวัญในการเชียร์นาย ดังนี้ว่า “ได้ครับพี่ ดีครับท่าน ทันครับผม เหมาะสมกับเจ้านาย ทำให้ได้ (can do)ครับผู้นำ ”

มุมมองแบบนี้มีจึงทำให้มีแต่ “งานเข้า” ชีวิตมีแต่งาน ทำแต่งาน
รูปแบบการรับใช้จึงเป็นสูตรตายตัว คือ ประกาศ ติดตามผล สร้างสาวก เชื่อฟังโดยอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจ เน้นเป้าหมายมากกว่าวิธีการ
บางท่านทำงานหนักเหนื่อยทุกวันตลอดทั้งอาทิตย์ เหนื่อยกับการดูแลคน กับการทำโปรแกรม เหนื่อยรับใช้ตามรูปแบบเดิม
วันศุกร์งานเข้า วันเสาร์งานหนัก วันอาทิตย์งานหลัก ขอพักงานวันจันทร์
ไปคริสตจักรในวันอาทิตย์แทนที่จะได้พักสงบในพระเจ้า แต่ต้องทำงานหนัก เมื่อกลับถึงบ้านไปเข้าห้องนอนก็กระโดดพุ่งราวบนเตียงเพื่อ “พักสลบ”

มุมมองแบบเดิมทำให้ชีวิตไม่สงบเพราะไม่พบพระเจ้า ติดยึดรูปแบบแต่ไม่ติดสนิทกับต้นแบบ
คนที่เราควรสนใจคือเจ้านายที่ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นจอมเจ้านายที่แท้จริงบนสวรรค์คือพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นต้นแบบแห่งการรับใช้ของเรา พระองค์ปรารถนาให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ไม่อยากให้ทุกข์ใจเมื่อทำงาน

มัทธิว 11:28-30
28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข
29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"


การทำงานจึงไม่ควรจะเป็นภาระหนักแต่ต้องมาจากภาระใจที่เราเข้าใจแลติดสนิทในพระเจ้า

มุมมองใหม่ : นิ่งสงบสยบความวุ่นวาย

พระเจ้าได้มาสอนคริสตจักรของเราให้วางใจในพระองค์ ในทุกสถานการณ์ในชีวิต
ในบางครั้งพระเจ้าได้ใช้สถานการณ์มาเป็นอุปกรณ์สอนเราให้เราวางใจในพระเจ้า
บางครั้งเราเจอสถานการณ์ทำให้เราสับสนวุ่นวาย ทำอะไรไม่ถูก ไม่สามารถเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พระเจ้าได้สอนให้เราเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคริสตจักรของเรา และสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น
คำเผยพระวจนะจากผู้นำหลายๆท่านและนักอธิษฐานวิงวอน (Intercessor) เป็นเสมือนเสียงเป่าเตือนจากคนยามที่ตื่นอยู่ให้เราเฝ้าระวังและดำเนินชีวิตตื่นตัวเสมอในสงครามฝ่ายวิญญาณ

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคริสตจักรของเรา ทีมีการเริ่มต้นทำนิเวศอธิษฐาน ทำให้เราได้เข้าเฝ้าพระเจ้า ทำให้จิตใจเราสามารถนิ่งสงบในทุกสถานการณ์
การนิ่งสงบสยบความวุ่นวาย เหมือนดังบทเพลง Still ของ Hillsong คือ

When the oceans rise and thunders roar… I will be still and know You are God
เมื่อพายุพัดมาและฟ้าคำราม …ข้าจะนิ่งอยู่ ไว้ใจพระองค์


ให้เราเข้ามาพักสงบและรับกำลังจากพระองค์ในการเผชิญสิ่งต่างๆได้
เข้ามาแสวหาพระเจ้า เข้าไปติดสนิทเบื้องบนเกิดผลเบื้องล่าง
พระเจ้าให้เราติดสนิทกับพระองค์และชีวิตของเราจะเกิดผลดี

วันนี้เราจึงสนุกกับการทำงาน มีสันติสุข ตื่นเต้นในบรรยากาศฝ่ายวิญญาณ หิวกระหายรอพระเจ้านำให้ทำในรูปแบบใหม่ๆ

ขอบพระคุณพระเจ้า

06 สิงหาคม 2553

ความรัก “ตัวแม่”

(ลงข่าวคริสตชน วันที่ 6 สิงหาคม 2010)


เมื่อถึงเดือนสิงหาคม เทศกาลหนึ่งที่เป็นวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยคือ “เทศกาลวันแม่
ซึ่งเป็นเทศกาลวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงพสกนิกรนี้เอง จึงทาให้ปวงอาณาประชาราษฎร์ ร่วมกับรัฐบาล ถือเอาวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม เป็น วันแม่แห่งชาติ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมา

เนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระมารดาที่ครบถ้วนในคุณลักษณะที่ดีเด่นทั้งหลายทั้งปวง ประชาชนชาวไทยจึงเทิดทูนพระองค์ท่าน เปรียบเสมือนเป็น "พระแม่หลวงของปวงชน"

ในปีนี้ทางรัฐบาลได้จัดงานมหกรรม “ร้อยใจ ร้อยมาลัย ร้อยล้านดวงใจ เทิดไท้ราชินี” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี มีกิจกรรมต่างๆมากมายในทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเทิดทูนพระคุณแม่, การประกวดภาพถ่ายและอื่นๆ อีกมากมาย และเพื่อระลึกถึงพระคุณของแม่

สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นได้คือ ดอกมะลิ และเสื้อสีฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าประทับใจที่หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มและความปลาบปลื้มใจที่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของแม่




ในปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานคำขวัญเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ซึ่งมีใจความสำคัญดังนี้

"แผ่นดินนี้ แม่ของลูก ใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าว ที่เดินซ้ำ ย่ำหว่านไถ
บำรุงดิน จนอุดม สมดังใจ หวังนาไทย เป็นของไทย ไปนิรันดร์"


ทั้งนี้เพื่อให้ปวงชนคนไทยมีความรักในพื้นแผ่นดินไทย และช่วยกันอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลานต่อไป

เมื่อกล่าวถึงคำว่า “แม่” เราจะนึกถึง ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตเรา ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของเรา ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของเรา ผู้หญิงที่เราเรียกเธอว่า "แม่"

คำว่า “แม่” เป็นคำที่ให้ความหมายถึง ผู้ให้กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบให้สิ่งมีชีวิต ได้ถือกำเนิดเกิดจาก “ตัวแม่”

แม่คนแรกของโลก คือ “เอวา” ที่ชื่อของนาง มีความหมายว่า มีชีวิตอยู่ เพราะเธอจะเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์และแผนการแห่งการไถ่บาปของมนุษย์มาจากพงศ์พันธ์ของผู้หญิง (ปฐก 3:15, 20)

ปฐมกาล 3:20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่าเอวา {ศัพท์นี้เหมือนคำที่แปลว่า มีชีวิตอยู่} เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต

Genesis 3:20 (kjv) And Adam called his wife's name Eve; because she was the mother of all living.



ดังนั้นแม่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนพระลักษณะของความเป็นผู้สร้างของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงใส่ความรักและสัญชาตญาณให้การเป็นผู้เลี้ยงให้กับแม่

เมื่อผู้ที่เป็นแม่ได้ให้กำเนิดลูกน้อยออกมา แม่จะเป็นผู้ที่ให้ความรักและเลี้ยงดูลูกจนเติบโต ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของแม่ที่มีให้กับลูกๆทุกคน

คุณแม่ของผมก็เช่นเดียวกัน ท่านได้เลี้ยงดูผมมาอย่างดี จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ในความรู้สึกของคุณแม่ เราก็ยังเป็นเด็กเสมอที่ท่านคอยห่วงใยอยู่เสมอ



ความรักที่ท่านมีต่อผม ตั้งแต่เกิดมาเป็นอย่างไร เวลาผ่านไป ความรักที่ท่านมีก็ยังมั่นคงอยู่เสมอ และผมก็เชื่อว่าทุกๆท่านก็คงคิดเช่นนั้นว่าสิ่งที่เราสามารถตอบแทนท่านได้ คือบอกคำว่า “รักแม่” และพยายามรักแม่ให้เทียบเท่ากับที่ท่านรักเราก็คงจะเพียงพอ แม้อาจจะเทียบไม่ได้ก็ตาม


คำว่า “แม่” เป็นคำที่ให้ความหมายถึง ผู้ให้กำเนิด เมื่อนำไปสนธิกับคำอื่นๆจะได้คำที่เกิดขึ้นใหม่

คำว่า “แม่” นั้นสะท้อนถึงลักษณะของแม่แบบต่างๆ

วันนี้จึงขอนิยามให้ความหมายของคำว่า "แม่" ในแบบต่างๆ ตามความหมายจากพจนานุกรมศัพท์เฉพาะ ฉบับราชกิจถวายเกียรติพระเจ้า ดังต่อไปนี้ครับ


“แม่สี” คือ กลุ่มสีซึ่งสามารถผสมออกมาเป็นสีอื่น ๆ ได้ทุกสี มี 5 สี คือ แดง เขียว (คราม) เหลือง ดำ ขาว เรียกว่า “เบญจรงค์” สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่มากมายหลายสี
ชีวิตของแม่ก็เช่นเดียวกัน แม่คือ “จิตรกร” ผู้แต่งแต้มสีสันชีวิตอนาคตของเรา แม่เป็นต้นกำเนิดให้ความคิดสร้างสรรค์ แม่จะเป็นนักประดิษฐสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาสร้างจินตนาการให้ลูก ของเล่นชิ้นแรกของลูกมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์จากของแม่ ที่แม่จะทำให้ลูกเล่น

“แม่แบบ” คือ แบบที่ใช้ในการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ
แม่คือ “วิศวกร” ที่วางแบบ Plan สร้างชีวิตของลูก ชีวิตของแม่เป็นแบบอย่างแห่งแรงบันดาลใจของลูกเสมอ ชีวิตของแม่เป็นอย่างไรจะส่งผลต่อชีวิตของลูกให้เดินตาม

“แม่แรง” คือ เครื่องสําหรับดีดงัดหรือยกของหนัก, โดยปริยายหมายถึงคนที่เป็นกําลังสําคัญในการงาน เป็นเครื่องผ่อนแรงจากเครื่องมือเล็กก็สามารถยกของที่มีน้ำหนักที่มากกว่าได้

แม่ คือ “กรรมกร” ที่ยอมรับแบกภาระของลูก เมื่อใดที่ลูกเจ็บ แม่เจ็บยิ่งกว่า เมื่อลูกมีปัญหา แม่ห่วงยิ่งกว่าห่วงตัวแม่เอง ชีวิตของแม่เป็นแม่แรงที่คอยผ่อนหนักเป็นเบา มีความเข้าใจในความเป็นเรา และเป็นเครื่องเสริมแรงให้เราทำสิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ได้ แม่เป็นแม่แรงที่ยกชูชีวิตของลูกขึ้น ด้วยหนึ่งสมองและสองมือแม่นี้ที่สร้างชีวิตของลูก

“แม่พิมพ์” คือ สิ่งที่เป็นต้นแบบ เช่น แม่พิมพ์ตัวหนังสือ, โดยปริยายหมายถึงครูอาจารย์ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างความประพฤติของศิษย์

แม่ คือ “ครูคนแรก” ที่สอนเราถึงวิธีการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ผู้สอนเราให้รู้จักแยกแยะระหว่าง “ความดี” และ “ความเลว” “ความเหมาะสม” กับ “ความไม่เหมาะสม” “ประโยชน์” กับ “โทษ” ของสิ่งต่าง ๆ ว่ากันว่าตัวกำหนดรูปแบบของลูกๆ และตัวกำหนดอนาคตของพวกเขา นั่นคือ แม่

นโปเลียน โบนาปาร์ต นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส กล่าวว่า “อนาคตแห่งความสำเร็จของเด็กคนหนึ่ง คือ งานของแม่ของตน”

“แม่เหล็ก” คือ แร่หรือโลหะที่มีสมบัติดูดเหล็กได้ สิ่งที่ทำให้เกิดพลังในการดึงดูดและเป็นต้นกำเนิดของพลังงาน เช่น แม่เหล็กไฟฟ้า
แม่เป็น “แม่เหล็ก” ที่ลูกอยากอยู่ใกล้เพราะพลังความรักที่ดึงดูดอยู่ในสนามแม่เหล็กแห่งความห่วงใยที่ความเข้าใจเป็นสื่อของแรงโน้มถ่วงให้เข้าหา
แม่เป็น “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ผู้ทำให้ความฝันใฝ่ของเราเป็นความจริง แม่เป็นผู้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานความรักที่ยิ่งใหญ่

“แม่ทัพ” คือ นายทัพ, ผู้ทำหน้าที่คุมกองทัพ, ผู้นำของกองทัพทหาร แม่ทำหน้าที่เป็น “ทหาร” ผู้ทำหน้าที่ปกป้องภยันตรายให้เรา ตั้งแต่เราอยู่ในครรภ์ช่วยตัวเองไม่ได้จนกระทั่งเติบใหญ่ สมบูรณ์ และแข็งแรง

แม่เป็นเสธ.ที่ปรึกษา ผู้ส่งกองกำลังแห่งชัยชนะมาหนุนใจ นำการปลดปล่อย เยียวยา ในสภาวะปัญหาสมรภูมิชีวิต เมื่อเราพลาดพลั้ง แม่จะเป็นกองกำลังสนับสนุน เข้ากระชับพื้นที่ให้คลายเหงาเศร้าโศก

“แม่งาน” คือ หัวหน้าผู้รับผิดชอบในงานบางอย่างอย่างครบถ้วน แม่เป็นแม่งานในทุกงานที่เกี่ยวกับลูก ทั้งเป็น “แม่ครัว” ทำอาหาร เป็น “แม่บ้าน” ดูแลจัดการงานในบ้านอย่างดี

นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคำจำกัดความนิยามของคำว่า "แม่" ที่แม้จะบรรยายอย่างไรก็ไม่สามารถสรรคำให้ครบถ้วนกระบวนความ นิยามนั้นก็ขึ้นอยู่กับลูกแต่ละคนที่กล่าวถึงแม่ของตน

ในปัจจุบัน มีคำศัพท์ใหม่ คือคำว่า “ตัวแม่” เป็นคำที่มีความหมายว่า คนที่มีเชิงเหนือชั้น ทำอะไรก็มักจะดีกว่าคนอื่น มีความโดดเด่น หรือได้เปรียบ หรือหากทำแล้วเป็นต้นแบบ มีคนทำตาม เรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของสิ่งนั้นๆ ถือว่าเป็น “ตัวแม่”

ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้กล่าวถึง สตรีที่สมควรรับการสรรเสริญ เพราะเธอมีคุณสมบัติที่ดีจากพระธรรมสุภาษิต บทที่ 31

สุภาษิต 31:30 เสน่ห์เป็นของหลอกลวง และความงามก็เปล่าประโยชน์แต่สตรียำเกรงพระเจ้า สมควรได้รับคำสรรเสริญ

ในวันนี้ผมจึงขอกล่าวสรรเสริญถึงผู้หญิงที่ชื่อของเธอถูกบันทึกในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ที่เป็น “ตัวแม่” ที่ได้รับแม่แบบความรักแท้ของพระเจ้าและถ่ายทอดมายังลูกของเธอ ดังต่อไปนี้


1. แม่ที่อบรมลูกในทางพระเจ้า - ยูนีส

ยูนีสเป็นแม่ของทิโมธี พระคัมภีร์กล่าวถึงทิโมธีว่าเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างจริงใจเหมือนกับยายและแม่ของเขา (2ทธ.1:5)และเป็นบุคคลที่ได้เรียนรู้พระวจนะพระเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนมีความเชื่อที่มั่นคง (2 ทธ.3:14-15) สะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างในการเป็นแม่ที่อบรมลูกในทางพระเจ้าของยูนีส จนมีผลทำให้ทิโมธี กลายเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่เข้มแข็งและเป็นที่ไว้วางใจของเปาโลในการดูแลคริสตจักรต่อจากท่านได้
แม่ที่ดีควรให้เวลาในการอบรมสั่งสอนลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอนพระวจนะและนำลูกให้อยู่ในทางของพระเจ้า

2. แม่ที่ส่งเสริมลูกในทางพระเจ้า - ฮันนาห์

ฮันนาห์เป็นแม่ของซามูเอล เธอมีความโดดเด่นในด้านการส่งเสริมลูกในทางของพระเจ้า คือได้มอบถวายซามูเอลไว้แด่พระเจ้า และพาซามูเอลเข้าไปในพระวิหารตั้งแต่เด็ก(1ซมอ.1:26-28) จนเมื่อเติบโตขึ้น ซามูเอลได้กลายเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่และมีผลมากต่อชนชาติอิสราเอล ตลอดจนผู้เชื่อในปัจจุบัน

แม่ที่ดีจึงควรส่งเสริมลูกในทางพระเจ้า ไม่เพียงให้ลูกเรียนรู้พระวจนะ แต่ส่งเสริมให้ลูกประพฤติตามพระวจนะนั้นด้วย

3. แม่ที่เป็นแบบอย่างในทางพระเจ้า - สะโลเม

สะโลเมเป็นแม่ของยอห์นและยากอบบุตรเศเบดี อัครสาวกคนสำคัญของพระเยซูคริสต์ เธอมีความรักที่มั่นคงต่อพระคริสต์ และเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายในการติดตามพระเจ้า (มก.15: 40, 16:1) ยอห์นและยากอบก็เป็นผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างเหนียวแน่นตลอดชีวิตของพวกเขาเช่นเดียวกัน ลูกจึงไม่เพียงเรียนรู้จากสิ่งที่แม่พร่ำสอน แต่ยังเรียนรู้จากสิ่งที่แม่เป็นด้วย ชีวิตของเธอจึงดังกว่าคำสอนที่เธอกล่าว

ดังนั้นแม่ที่ดีจึงควรเป็นแบบอย่างแก่ลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบอย่างในทางของพระเจ้า เพื่อจะนำทั้งครอบครัวให้เดินไปกับพระเจ้าด้วยกันอย่างมั่นคงได้

แม่ที่ดีเช่นนี้ พระวจนะกล่าวว่า “...(เธอ) สมควรได้รับการสรรเสริญ...” (สภษ.31: 10-30)

เธอทั้งสามคนนี้จึงเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เป็นแม่เรียกได้ว่าเป็น “ความรักตัวแม่” ที่น่าเลียนแบบและยกให้เป็นแม่ตัวอย่างใน “ทำเนียบแม่ดีเด่น” จากพระคัมภีร์

นอกจากนี้ยังมีคุณแม่หลายคนที่ไม่ได้กล่าวมาหรือเราไม่ทราบซื่ออย่างชัดเจนที่บันทึกไว้ แต่เราก็ได้เห็นถึงความรักที่แม่มีต่อลูก แม้ลูกจะเป็นอย่างไร แม้ก็ยังรักลูกเสมอ


ในปัจจุบันเราก็ยังพบเห็นคุณแม่หลายคนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม แม้ลูกจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าลูกสาวจะเป็น Art ตัวแม่ ก็คือคือผู้หญิงเอาแต่ใจตัวเอง หรือลูกชายเจ้าอารมณ์ตัวพ่อ ช่างหงุดหงิดหรือฉุนเฉียว แต่เราก็จะเห็นถึงความรักของแม่ที่มีความอดทนนานและกระทำคุณสิ่งที่ดีให้กับลูก

ในวันแม่ปีนี้ก็ขอหนุนใจในฐานะลูกคนหนึ่งของคุณแม่ ว่าแท้จริงแล้ววันแม่ไม่ได้มีแค่วันเดียวในหนึ่งปี แต่ 365 วันนั้นเราคนจะเป็นลูกที่ดีของแม่ ควรจะทำให้ทุกวันเป็นวันของแม่ ด้วยการเป็นลูกที่ดี

พระคัมภีร์ได้สอนคริสตชนไว้ในพระธรรมเอเฟซัส 6:1-3 ว่า
1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์ พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก
2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติ ข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย
3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก


คือการให้ลูกนบนอบเชื่อฟัง ให้เกี่ยรติพ่อแม่ และพระพรจะตกถึงชีวิตคือจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก

นอกจากนี้คือ การทดแทนพระคุณของท่าน เมื่อเรามีโอกาส เพราะการที่เราไม่ดูแลพ่อแม่ เราแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเสียอีก เรียกว่า “เลวได้โล่” ขอยกนิ้วให้เลยว่า “แย่จริงๆ” เป็นการทำบาปบริสุทธิ์ ที่ไม่มีความดีเจือปนเลย

1ทิโมธี 5:8 ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก

สำหรับในวันแม่ ขอหนุนใจให้ใช้เวลาสำแดงความรักกับแม่ในการมอบสิ่งเล็กๆที่ยิ่งใหญ่คือการบอกรักแม่ ไปใช้เวลากับคุณแม่ เพราะบางครั้งเราก็ละเลยผู้หญิงที่รักเรามากที่สุดคนหนึ่งคือ “แม่” อย่าทำในสิ่งที่แม่ต้องหนักใจ จนคุณแม่ขอร้อง หรือ "คุณแม่ไม่ปลื้ม"

“อย่าเอาแต่ทำงานสนใจแต่เจ้านาย แต่ไม่ใส่ใจในแม่ ผู้เป็นเจ้าชีวิตของเรา”
“อย่าเอาเวลาไปออกเดท กับแม่คุณ(ทูลหัว) … แต่เลื่อนนัดรับประทานอาหารกับคุณแม่
อาจจะพบความผิดหวัง รักเธอแล้ว ท้อแท้ รักแม่แน่นอนกว่า It’s all right ใช่เลย”

ขอจบด้วยบทกลอนส่งท้าย เป็นกลอนสะท้อนถึงความรักแท้ของแม่ คือความรักที่เป็นกำลังให้แก่เราเสมอ เป็นรักที่ไม่เสแสร้ง และทำทุกๆ อย่างเพื่อลูกได้ ลูกจึงซาบซึ้งใจในพระคุณความรักของแม่ และไม่ลืมที่จะจดจำคำสั่งสอนที่แม่มีต่อเรา

(ที่มา http://poem.kajeab.com/view.php?id=43451)

กลอน “ความรักของแม่”

รักของแม่รักนี้ที่ยิ่งใหญ่ รักที่ทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง

รักที่ทำให้เราสู้ยามหมดแรง รักที่ไม่เสแสร้งแกล้งลองใจ

รักของใครก็ไม่เท่ารักของแม่ รักจริงแท้แน่นอนและอ่อนไหว

เป็นรักที่ทำให้ลูกนั้นสุขใจ รักไม่คลายคือรักแท้ของแม่เรา

แม้เหน็ดเหนื่อยมากมายจะไม่หวั่น ใครจะมาหยามหยันก็ช่างเขา

ขอแค่มีรักแท้จากแม่เรา ใจที่เศร้าก็สู้ได้ไม่อายคน

รักของแม่รักนี้ช่างดีนัก แม้เจ็บหนักยืนสู้ได้จะไม่บ่น

คำสอนแม่ที่บอกให้อดทน อย่าลืมตนสักวันคงได้ดี

ถึงวันนี้ที่ลูกนั้นสุขนัก เพราะลูกมีรักแท้จากแม่นี้

ลูกไม่ลืมคำสั่งสอนที่ดีดี รักคุณแม่คนนี้ที่หนึ่งเลย...


วันแม่ในปีนี้ ให้เราทำสิ่งดีเพื่อแม่ของเรา ร้อยรัก ร้อยมาลัย ร้อยดวงใจมอบให้แม่ ส่งต่อความรักแท้มอบแด่ “ตัวแม่”ของความรัก

03 สิงหาคม 2553

ประวัติ "วันแม่แห่งชาติ"

(“ที่มาของวันแม่” ข้อมูลจาก www.wikipedia.org)


แอนนา เอ็ม.จาร์วิส (Anna Marie Jarvis)
คุณครูชาวอเมริกันแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ได้ใช้ความพยายามร่วม 2 ปี เพื่อเรียกร้องให้มี “วันแม่” ขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยในปี ค.ศ.1914 ประธานาธิบดี โทมัส วู้ดโรว์ วิลสัน (Thomas Woodrow Wilson)
ได้มีคำสั่งให้ถือเอาวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็น “วันแม่แห่งชาติ”

ดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือ “ดอกคาร์เนชั่น” เป็นสัญลักษณ์วันแม่ โดยมี 2 แบบ
คือ ถ้าแม่มีชีวิตอยู่ ให้ใช้ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาว



สำหรับในประเทศไทยมีการจัดงานวันแม่ครั้งแรก โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ที่สวนอัมพร แต่เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ต้องงดไปจัดในปีต่อไป

จนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 คณะรัฐมนตรีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีประกาศรับรองให้วันที่ 15 เมษายนของทุกๆ ปี เป็นวันแม่ โดยเรียกว่า “วันแม่ของชาติ” และมอบหมายให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นผู้จัดงานเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรก

ต่อมาถึง พ.ศ.2519 (ค.ศ.1976) ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอา

วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม “เป็นวันแม่แห่งชาติ” เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย และกำหนดให้ใช้ “ดอกมะลิ” เป็นดอกไม้สัญลักษณ์วันแม่



(ข้อมูลจาก www.educatepark.com)

ทำไมจึงใช้ดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำวันแม่

การที่ใช้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์วันแม่ ก็เพราะ ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมที่หอมไปไกลและหอมได้นาน ผลิดอกได้ทั้งปี อีกทั้งยังนำไปปรุงเป็นเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้ด้วย

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ลึกซึ้งที่แม่มีต่อลูก เป็นความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีพิษมีภัย มีแต่ความชุ่มชื่นใจดั่งความหอมของดอกมะลิ

จะเห็นได้ว่าบุคคลที่เป็นแม่ นั้นสมควรที่จะเทิดทูนและให้เกียรติโดยมีการตั้งวันขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกถึงในคุณความดีที่ท่านได้ทำ นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัลคุณแม่ดีเด่นเพื่อเป็นการเทิดทูนและให้เกียรติ

มีหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย พยายามที่จะพิจารณาให้รางวัลแก่แม่ผู้บำเพ็ญประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
เช่น สภาสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้พิจารณารางวัล แม่ดีเด่นแห่งชาติมาทุกปี โดยมีรางวัลที่มอบให้เช่น

1.แม่ของผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
2.แม่ผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
3.แม่ผู้มีความมานะอดทนขยันหมั่นเพียร
4.แม่ผู้มีใจเสียสละ